ตำนานเทพเจ้าชาวไวกิ้ง - ตำนานเทพเจ้าชาวไวกิ้ง นิยาย ตำนานเทพเจ้าชาวไวกิ้ง : Dek-D.com - Writer

    ตำนานเทพเจ้าชาวไวกิ้ง

    เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับเทพเจ้า คราวนี้มาเป็นของชาวนอร์ส หรือพวกไวกิ้งกันบ้างจ้า

    ผู้เข้าชมรวม

    23,262

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    125

    ผู้เข้าชมรวม


    23.26K

    ความคิดเห็น


    9

    คนติดตาม


    40
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 มิ.ย. 49 / 14:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ





      ตำนานเทพเจ้าชาวนอร์สเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาของชาวไวกิ้ง แถวดินแดนสแกนดิเนเวีย (สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์) ทวีปยุโรปเหนือปัจจุบัน ซึ่งเป็นพวกไวกิ้งนั้นก็เป็นชนเผ่าหนึ่งซึ่งเรียกว่าชาวนอร์ส(Norseman)
      เรื่องเล่าตำนานเทพเจ้าของชาวนอร์สหรือไวกิ้งถูกเล่าขานปากต่อปากมาเป็นเวลานาน ซึ่งบางเรื่องก็มีส่วนคล้ายกับตำนานเทพเจ้าของกรีกและโรมัน เรื่องราวของเทพเจ้าชาวนอร์สถูกเขียนไว้ในวรรณกรรมของเอ็ดดา ซึ่งมีทั้งหมด 2 เล่ม นอกจากนี้เรื่องราวของชาวไวกิ้งยังมีการบันทึกไว้เป็นบทกวี เรียกว่า ซาก้า อีกด้วย...

      นานหลายพันปีมาแล้วพวกไวกิ้งหรือนอร์สแมน (Vikinings or Norseman) ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศยุโรปทางเหนือ แถวประเทศนอรเวย์ สวีเดนในปัจจุบันพวกไวกิ้งเป็นนักเดินเรือที่เก่งมาก และชอบการท่องเที่ยวผจญภัย ไวกิ้งได้ท่องเที่ยวไปถึงไอซ์แลนด์และกรีนแลนด์ (Iceland & Greenland) และอาจเลยไปถึงโลกใหม่คือทวีปอเมริกาเลยที่เดียว พวกไวกิ้งมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับเทพเจ้าของพวกเขา ซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้...






      โลกเรานี้ หรือจะว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า มีเพียงห้วงที่ว่างเปล่าเรียกว่า กินนุนกากับ( Ginnungagap) ด้านเหนือ คือ ดินแดนนิฟเฟลเฮม(Nifelheim) โลกแห่งน้ำแข็ง ทั้งกว้างและว่างเปล่า เป็นที่ที่หนาวเหน็บและครอบคลุมไปด้วยความมืดมิด หมอกแห่งความเย็นครอบคลุมไปถึงน้ำพุ เฮอร์เกลมีร์(Hvergelmir) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 11 สาย ที่ไหลลงสู่กินนุนกากับ ทำให้เกิดธารน้ำแข็งเต็มช่องว่าง ส่วนทางใต้ ก็คือ ดินแดนแห่งเปลวเพลิงมัสเปลเฮม (Muspelheim) เป็นที่อยู่ของยักษ์เซิร์ท ที่ถือดาบแห่งเพลิง เป็นดินแดนแห่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆสามารถทนอาศัยอยู่ได้นอกจากเซิร์ท เขาจะนั่งอยู่ที่ปลายสุดของดินแดนเพื่อเฝ้าแผ่นดินมัสเปลนี้ ในเมื่อดินแดนแห่งนั้นว่างเปล่ายักษ์เซิร์ทจึงได้แต่นั่งตีดาบ ประกายไฟจากการตีดาบจึงลอยเข้าไปในห้วงลึกทุกวัน เมื่อดินแดนทั้งสองที่มีทั้งน้ำแข็งและไฟมาเจอกันนานเข้า มันก็เกิดการรวมตัวครั้งใหม่ ทำให้เกิดยักษ์ตนหนึ่ง นามว่า อีมีร์(Ymir) และสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการหลอมละลายของน้ำแข็ง เกิดเป็นนางวัวนาม โอดฮัมลา(Audhumla) และอีมีร์ก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยจากดื่มน้ำนมจากนางวัวโอด ส่วนนางวัวก็ได้แต่เลียน้ำแข็งปะทังชีวิต






      Heim (World in Norse Mythology)

      ในตำนานกล่าวว่า มีดินแดนเทพทั้งหมด 9 ดินแดน แบ่งเป็นสามส่วน
      ส่วนบนสุด :
      ดินแดนเทพแอสการ์ด(Asgard) - ที่อยู่ของเทพเอซีร์ (เทพที่เกิดจากโอดิน)
      ดินแดนเทพวานาเฮม(Vanahiem) - ที่อยู่ของเทพวานีร์ (เทพนอกเหนือออกไป ไม่มีเชื้อสายของโอดิน)
      อัลฟ์เฮม(Alfheim) - ดินแดนเอลฟ์ เอลฟ์แห่งแสงสว่าง (มีเวทย์มนต์ เป็นเอลฟ์ชั้นสูง)
      ส่วนถัดมา(กลาง) :
      ดินแดนมิดการ์ด(Midgard = Middle garden) - ที่อยู่อาศัยของมนุษย์
      ดินแดนนิดาเวลเลียร์(Nidavellir) - ดินแดนของคนแคระ
      โจทันเฮม(Jotanheim) - ดินแดนแห่งยักษ์
      สวาตัลฟ์เฮม(Svartalfheim) - ดินแดนของพวกเอลฟ์ดำและเอลฟ์ขาว
      ส่วนที่อยู่ล่างสุด :
      เฮลเฮม(Helheim) - ดินแดนใต้พิภพ อาณาจักรแห่งความตาย(นรก) (ปกครองโดยเทวีแห่งความตาย เฮล)
      นิฟเฟิลเฮม(Niflheim) - โลกแห่งความตาย
      (heim ภาษาตระกูลเยอรมัน แปลว่า บ้านหรือที่อยู่)





      - - - รายนามเทพเจ้าของชาวนอร์ส - - -

      เทพเจ้าแสกนดิเนเวีย ไวกิ้ง ชาวนอร์สและยุโรปเหนือ เป็นชื่อเรียกรวมของเทพเจ้าที่รู้จักกันดีในนามเทพเจ้าของชาวนอร์ส เทพสูงสุดคือโอดินมหาเทพ สำหรับเทพเจ้านั้นจะแบ่งออกเป็นวงศ์วานหลักๆอยู่ 2 วงศ์(หรือจะเรียกว่ากลุ่มเทพก็ได้)คือ เทพเอซีร์ซึ่งเป็นเทพผู้ที่อาศัยอยู่บนดินแดนแอสการ์ดและทั้งหมดต่างก็มีเชื้อสายของโอดินมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่(ว่างั้น) กับวานีร์ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนวานาเฮม(ที่อยู่ของวานีร์)เป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติเสียส่วนใหญ่(สุขภาพ ความอุดมสมบูรณ์ ทรัพย์สิน เด็ก และความโชคดี เป็นต้น) ทั้งยังมีความสามารถด้านเวทย์มนต์สูง และเคยสาบานที่จะเป็นศัตรูกับนักรบเทพเอซีร์ ซึ่งเป็นสงครามที่กินเวลามายาวนานมาก ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตัดสินใจที่จะสงบศึกกัน โดยแต่ละฝ่ายได้ส่งเทพไปอยู่ในดินแดนของอีกฝ่าย เพื่อเป็นหลักประกัน ได้แก่ เทพเฟรย์ เทวีเฟรย่าและบิดาจากวานีร์ถูกส่งให้เป็นเทพของเอซีร์ แล้วเอซีร์ก็ส่งโฮนีร์กับภรรยาไปเป็นเทพของวานีร์ และสุดท้ายในสงครามแร็กนาร็อค ทั้งสองชนก็รวมตัวกันต่อสู้กับยักษ์ น้ำแข็งที่เข้ามาบุกรุกดินแดนเทพ แม้จะไม่มีใครรอดก็ตามแต่...




      เทพเจ้า ตัวแทน วงศ์
      โอดิน (Odin) เทพแห่งสงคราม บทกวีและความรู้ เอซีร์ (Aesir)
      ฟริกกา (Frigga) เทวีแห่งความงาม เมฆและท้องฟ้า เอซีร์ (Aesir)
      ธอร์ (Thor) เทพแห่งสายฟ้า และการเกษตร เอซีร์ (Aesir)
      โลกิ (Loki) เทพแห่งไฟ เอซีร์ (Aesir)
      เฮมดัลล์ (Heimdal) เทพแห่งแสงสว่าง ผู้เฝ้าดินแดนเทพแอสการ์ด เอซีร์ (Aesir)
      บาลเดอร์ (Balder) เทพแห่งแสง ความปิติยินดี และความบริสุทธิ์ เอซีร์ (Aesir)
      โฮเดอร์ (Holder) เทพแห่งฤดูหนาวและยามราตรี เอซีร์ (Aesir)
      แบรกี (Bragy) เทพแห่งดนตรีและบทกวี เอซีร์ (Aesir)
      ฟอร์เซติ (Forseti) เทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและความประนีประนอม เอซีร์ (Aesir)
      เฟรย์ (Freyr) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เอซีร์ (Aesir)*
      เฟรย่า (Freya) เทวีแห่งความงามและความรัก เอซีร์ (Aesir)*
      นอร์ด (Njord) เทพแห่งสายลมและผืนทะเล เอซีร์ (Aesir)*
      ซิฟ (Sif) เทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เอซีร์ (Aesir)
      วีลี (Vili) น้องชายของโอดิน เอซีร์ (Aesir)
      เว (Ve) น้องชายของโอดิน เอซีร์ (Aesir)
      อีดูน (Idun) เทวีแห่งความเยาว์วัย เอซีร์ (Aesir)
      ไทร์ (Tyr) เทพแห่งสงครามและความยุติธรรม เอซีร์ (Aesir)
      วีดาร์ (Vidar) เทพแห่งความเงียบและการแก้แค้น เอซีร์ (Aesir)
      เฮอร์มอด (Hermod) เทพแห่งการส่งสาร เอซีร์ (Aesir)
      โฮนีร์ (Honir) เทพเจ้าแห่งท้องทะเล วานีร์ (Vanir)*
      เอกีร์ (Aegir) เทพแห่งมหาสมุทร วานีร์ (Vanir)
      แรน (Ran) เทพีแห่งพายุ วานีร์ (Vanir)
      เฮล (Hel) เทวีแห่งยมโลก
      ร์น (The Norns) เทวีแห่งโชคชะตา
      อูล (Ull) เทพแห่งการล่าสัตว์และการต่อสู้
      วาร์ (Var) เทวีแห่งการสมรส
      สแกดี (Skadi) เทวีแห่งหิมะและการเล่นสกี วานีร์ (Vanir)
      ( ปล. * หมายถึง เทพที่เปลี่ยนจากวานีร์เป็นเอซีร์ และจากเอซีร์เป็นวานีร์ เช่น วานีร์* หมายความว่า พวกเขามีเชื้อสายของ เอซีร์ แต่ไปอยู่กับพวกวานีร์)


      Harbarljoo : Lay of Harbarth
      วันหนึ่ง โลกิ โอดิน และเทพอีกองค์หนึ่งชื่อว่า โฮนีร์ (Honir) กำลังย่างเนื้อเพื่อกินเป็นอาหารมื้อเย็น ได้นกอินทรีย์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโฉบลงมาจิกเอาก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ที่ดีที่สุดติดอุ้งเล็บไป โลกิได้ใช้ไม้ปลายแหลมแทงติดตัวอินทรีย์ นกอินทรีย์ใหญ่โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทั้งที่มีไม้ปลายแหลมปักติดรวมทั้งโลกิที่เกาะติดไปกับไม้นั้นด้วย ที่จริงแล้วนกอินทรีย์ใหญ่ตัวนั้นเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่มีชื่อว่า ธีอาซี่ (Thiazi) แปลงตัวมา ยักษ์ธีอาซี่ไม่ยอมปล่อยโลกิจนกระทั่งโลกิสัญญาว่าจะนำเทพธิดา อีดูน(Idun) พร้อมด้วยตะกร้าที่มีแอบเปิลทองคำมาให้ยักษ์ธีอาซี่จึงได้ยอมปล่อยตัวโลกิให้เป็นอิสระ และผลแอบเปิ้ลทองคำของอีดูนที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ผลไม่ธรรมดา หากแต่ผลไม้วิเศษที่เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์กินแล้วทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดกาล ไม่รู้จักแก่เฒ่า
      โลกิซึ่งเป็นคนรูปหล่อมีเสน่ห์ได้ชักชวนเทพธิดาอีดูนให้ไปเดินเล่นด้วยกัน โลกิพาเทพธิดาอีดูนเดินข้ามสะพานสายรุ้งซึ่งเป็นเขตแดนแยกระหว่างดินแดนของเหล่าเทพเจ้าและแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ทันทีที่เทพธิดาอีดูนเดินข้ามสะพานพ้นออกมาจากเขตแดนสวรรค์ที่เรียกว่าแอสการ์ด นกอินทรีย์ได้โฉบลงจับตัวพาไปยังถิ่นที่อยู่ของมันซึ่งเป็นภูเขาปกคลุมด้วยหิมะ เมื่อขาดเทพธิดาอีดูนและผลแอบเปิ้ลวิเศษ เหล่าเทพเจ้าในแอสการ์ดก็เริ่มแก่เฒ่า ผมที่เริ่มมีสีแดงของธอร์ก็ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ขวานฟ้าที่ขว้างออกไปก็ไม่ไกลจากที่เป็นรวมทั้งความแม่นยำก็ลดน้อยลงไปด้วย เทพโอดินก็เริ่มหูอื้อฟังอะไรไม่ชัดเจนดังเดิม เฟรย่าเทพแห่งความรักและความงามที่มีผมสีทองสุกปลั่งก็เริ่มมีแสงสีเงินแซมขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเลวร้ายขึ้นเป็นลำดับ ความหนาวเย็นและน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลกทางเหนือได้เริ่มขยายตัวออกแผ่กระจายไปทั่วโลก
      "สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเจ้าและเจ้าจะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น" โอดินกล่าวกับโลกิ ด้วยเหตุนี้ โลกิจึงได้แปลงร่างเป็นนกเหยี่ยวขนาดเล็กบินออกจากแอสการ์ดตรงไปยังถิ่นที่อยู่ของยักษ์เพื่อจะสืบดูเหตุการณ์ว่าจะสามารถจัดการได้อย่างไร เมื่อโลกิได้เดินทางไปถึงปราสาทของยักษ์ธีอาซี่ พอดีกับที่เจ้ายักษ์ธีอาซี่ไม่อยู่ โลกิในร่างของเหยี่ยวตัวน้อยจึงได้บินผ่านหน้าต่างเข้าไปยังปราสาท พบเทพธิดาอีดูนกำลังร้องไห้อยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ในปราสาทแห่งนั้น โลกิในร่างของเหยี่ยวน้อยได้จัดการแปลงร่างของเทพธิดาอีดูนให้เป็นเมล็ดถั่วแล้วจึงใช้ปากคาบพาบินออกมาทางหน้าต่าง

      แต่ทว่าก่อนที่โลกิจะพาเทพธิดาอีดูนกลับมาถึงแอสการ์ด ยักษ์ธีอาซี่ได้กลับไปถึงปราสาทและพบว่าเทพธิดาอีดูนได้หายไปแล้ว ยักษ์ธีอาซี่ได้แปลงร่างเป็นนกอินทรีย์ยักษ์บินตามเหยี่ยวโลกิไปด้วยความโกรธ เทพเจ้าทั้งหลายบนแอสการ์ดรู้เหตุการณ์และมองเห็นนกทั้งสองตัวบินไล่กันมาแต่ไกลเจ้านกอินทรีย์ยักษ์บินเข้าหาเหยี่ยวน้อยอย่างรวดเร็วและก่อนที่อินทรีย์ยักษ์จะถึงตัวเหยี่ยวน้อย เหล่าเทพเจ้าได้นำกิ่งไม้และใบไม้จำนวนมากมากองขวางไว้ตามกำแพงของแอสการ์ด เมื่อเหยี่ยวโลกิบินผ่านจึงได้ช่วยกันจุดไฟขวางกั้นนกอินทรีย์ยักษ์ไว้ไม่ให้บินผ่านไป นกอินทรีย์ยักษ์บินตามมาด้วยความเร็วไม่อาจหยุดได้ทันท่วงทีจึงได้รับบาดเจ็บเพราะโดนไฟบินถลาผ่านเขตแดนกั้นตกลงในเขตแดนของแอสการ์ดและถูกเทพเจ้าฆ่าตาย เทพธิดาอีดูนและผลแอบเปิ้ลวิเศษจึงกลับคืนสู่แอสการ์ดอีกครั้งหนึ่ง
      แต่ยักษ์ธีอาซี่ก็ยังมีผู้ที่รักอยู่ ลูกสาวของธีอาซี่เมื่อรู้ว่าพ่อตายจึงได้เดินทางไปแอสการ์ดเพื่อขอความยุติธรรม เพื่อให้ความยุติธรรมและเป็นที่พอใจต่อบุตรสาวของธีอาซี่ เทพโอดินจึงนำธีอาซี่ไปไว้ในท้องฟ้า เพื่อให้คนบนโลกได้มองเห็น ธีอาซี่จึงได้กลายเป็นดวงดาวหนึ่งในท้องฟ้าก็คือ ดาวซีริอัส (SIRIUS) ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้านั่นเอง

       


       - Raknarok = Raknarökr orRaknarøkr -" align="left" hspace="3" vspace="3">

      Runes -
      รูนเป็นอักษรยุคแรกๆของชนเผ่ายุโรปเหนือ(พวกไวกิ้ง) เริ่มถูกนำมาใช้เมื่อ 300 ปี หลังคริสตกาล และมีใช้อยู่นานนับพันปี อักษรรูนมีพยัญชนะเรียกว่า อักษรฟูทาร์ค(futhark) รูน เป็นภาษาแกลิค แปลว่า ความลับ และ เฮรูน แปลว่าพยากรณ์ศาสตร์ ว่ากันว่า โอดินได้แขวนตนเองอยู่บนต้นอิกดราซิบลเป็นเวลาถึง 9 วัน เพื่อที่จะเรียนรู้อักษรรูน

      อักษรรูนเป็นอักษรที่เกิดตามธรรมชาติ แต่ละตัวมีความสามารถในการสื่อพลังในแง่ต่างๆ ต่างกันออกไป เวทย์มนต์ที่ร่ายกันขึ้นจะเป็นส่วนผสมของอักษรรูนหลายๆตัว(ที่เห็นบ่อยๆก็คือสามตัว) อักษรรูนที่ใช้บ่อยที่สุดในเวทย์มนต์ต่างๆตามตำนานของชาวนอร์สมี 25 ตัวอักษร คือ...

      1. ALGIZ (อัลกีซ) - รูนแห่งอาณาเขตแห่งความคุ้มครอง ในอดีตเป็นสัญลักษณ์ของวิหารที่เหล่านักรบที่บาดเจ็บจากสงครามจะใช้พักรักษาตัว ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังแห่งความคุ้มครองโดยการเพ่งสมาธิถึงความเจ็บปวดหรือความทุกข์ยากลำบากที่เคยได้รับในอดีต เปรียบเสมือนการที่เคยได้พบกับความเจ็บปวดในครั้งอดีตจะทำให้เหล่านักรบแข็งแกร่งขึ้นในศึกต่อไป

      2. ANSUZ (อันซัส) - รูนแห่งสัญญาณและข่าวสาร มีความหมายถึงต้นแอชซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เอาไว้เป็นจุดหมายสำหรับนักเดินทางที่หลง เป็นสัญลักษณ์แห่งการชี้นำให้แก่ผู้ที่หลงทางหรืออยู่ในระหว่างการตัดสินใจ ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังในการชี้นำทางที่ถูกต้องโดยการเพ่งสมาธิถึงอดีตที่ผ่านมาและจุดหมายที่ต้องการไปถึง

      3. ฺBERKANA (เบอกานา) - รูนแห่งความเจริญงอกงาม มีความหมายถึงความงอกงามของพืชพรรณและสรรพชีวิตเมื่อพ้นฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังแห่งการเติบโตและเจริญงอกงาม โดยการเพ่งสมาธิถึงการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง(เช่นเมล็ดพืช)และความอุดมสมบูรณ์ (อาจใช้รูน Inguz ร่วมได้)

      4. DAGAZ (ดากัซ) - รูนแห่งแสงสว่าง มีความหมายถึงช่วงเวลาที่ผู้คนออกมาทำมาหากินและช่วงเวลาอันสงบสุขประจำวัน และยังหมายถึงแสงสว่างที่ช่วยให้ผู้หลงอยู่ในความสับสน(chaos)หลุดพ้นจากความหลงผิดด้วย ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังที่จะช่วยให้ผู้คนรอบข้างสดชื่นแจ่มใสและมีพลัง โดยการเพ่งสมาธิถึงความสดชื่นในการประกอบกิจกรรมประจำวันท่ามกลางแสงอาทิตย์(โดยเฉพาะชาวสวนหรือชาวนาที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิต)

      5. EHWAZ (เอห์วาซ) - รูนแห่งอาชาศักดิ์สิทธ์ มีความหมายถึงม้าที่ชาวไวกิ้งใช้ขี่ควบไปเพื่อเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล และม้ายังเป็นสัตว์ที่เทพเฟรย์โปรดปรานอีกด้วย(บ้างก็ว้เป็นเทพธิดาเฟรย่าน้องของเฟรย์ แต่น่าจะเป็นเฟรย์มากกว่า) ความหมายรวมไปถึงการตอบแทนบุญคุณต่อสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ใช้งาน ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังที่จะเพิ่มความสามารถและความความชำนาญในการใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ(เช่นการขับรถ การใช้อาวุธ การเล่นกีฬา ฯลฯ) โดยการเพ่งสมาธิถึงผู้ที่ได้ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์หรือวิธีการต่างๆที่ทำให้เราได้ใช้งานอย่างสะดวกสบายในปัจจุบัน

      6. EIHWAZ (อีห์วาซ) - รูนแห่งการปกป้องตนเอง มีความหมายถึงไม้ยิว ไม้ที่ชาวไวกิ้งใช้สร้างคันธนูและศรเพื่อใช้ในการปกป้องบ้านเมือง ทรัพย์สมบัติตลอดจนชีวิตของตนเอง ไม้ยิวให้ความสามารถในการป้องกันตัวแก่พวกเขานั่นเอง ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังในการปกป้อง"สถานะ"ของตนเอง (หน้าที่การงาน ทรัพย์สิน ยศถาบรรดาศักดิ์) และทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีแม้ในคราวเคราะห์

      7. FEHU (เฟอู) - รูนแห่งความมั่งคั่ง มีความหมายถึงการบวงสรวงและการตอบแทนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อถึงคราวที่ทำมาค้าขึ้นหรือผลผลิตเจริญงอกงาม ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับความเจริญในด้านธุรกิจและการเงินโดยการเพ่งสมาธิถึงการขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในสิ่งที่ได้รับ และการไม่ใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือยแม้ว่ามีทรัพย์สมบัติสมบูรณ์พร้อม

      8. GEBO (เกโบ) - รูนแห่งความสอดคล้องของธรรมชาติและการตอบสนอง มีความหมายถึงการกระทำสิ่งใดของเราที่จะทำลงไปย่อมได้รับผลตอบสนองจากสิ่งนั้น(ง่ายๆคือกฎแห่งกรรมนั่นเอง) ถือเป็นกฎแห่งธรรมชาติ ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับความราบรื่นและความเกื้อหนุนจากธรรมชาติในการที่จะกระทำการใดๆ(ประมาณว่าธรรมชาติ ลมฟ้าอากาศเป็นใจ โชคเคราะห์อำนวย) โดยการเพ่งสมาธิถึงสิ่งที่เราอยากจะทำให้กับผู้อื่นเสมือนหนึ่งสิ่งที่เราจะต้องการจะรับมัน

      9. ็HAGALAZ(ฮากาลาซ) - รูนแห่งภัยพินาศ มีความหมายถึงพลังแห่งธรรมชาติในแง่ลบไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็น อุทกภัย ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุหิมะหรืออุบัติเหตต่างๆ และหมายความถึงสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกด้วย ผู้ที่อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้รอบๆตัว โดยการเพ่งสมาธิถึงความยากลำบากความเร้นเค้นที่เกิดขึ้นหลังจากมีภัยพิบัติต่างๆ

      10. INGUZ (อินกัซ) - รูนแห่งความอุดมสมบูรณ์ การเจริญพันธ์และการกำเนิด เป็นรูนที่ความหมายอันเกี่ยวข้องถึงเทพเฟรย์ มีความหมายถึงการกำเนิดทายาทของมนุษย์ การงอกงามของพืชพันธ์และปศุสัตว์ โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ในผู้ที่ต้องการจะมีบุตรซึ่งจะต้องอธิฐานถึงความมุ่งหวังที่จะตั้งครรภ์ แต่ก็ใช้กับผลผลิตอื่นๆได้ นอกจากนี้รูนตัวนี้ยังเป็นรูนที่ทรงพลังในเชิงสร้างสรรค์ทั้งมวลด้วย ซึ่งสามารถใช้ควบคู่กับการอธิษฐานที่ต่างกันออกไป

      11. ISA (ไอซา) - รูนแห่งน้ำแข็งและความหนาวเย็น มีความหมายถึงภยันตรายและความโหดร้ายจากความหนาวเย็นในดินแดนแถบสแกนดิเนเวีย รูนตัวนี้ได้รับการกล่าวว่าเป็นรูนที่ทรงอานุภาพอย่างยิ่งในหมู่ผู้ร่ายคาถาอักษรรูน ผู้ร่ายที่เข้าใจในพลังของรูนนี้จะเสมือนมีพลังมหาศาลไว้ในครอบครอง ผู้ที่อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้พลังในการควบคุมความหนาวเย็น โดยการเพ่งสมาธิถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเมื่อสิ่งต่างๆถูกกระทบกับความความเย็นอย่างที่สุด

      12. ๋JERA (เจรา) - รูนแห่งวงล้อแห่งฤดูกาล มีความหมายถึงช่วงเวลาที่ผันผ่านก่อนที่ชาวไร่จะได้เก็บเกี่ยวผลิตผลอันอุดม ผู้อธิษฐานต่อรูนนี้จะประสบผลสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆที่ต้องเฝ้ารอคอย โดยตั้งมั่นในความอดทนและมองการไกลที่จะรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดอันจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า

      13. KANO (คาโน) - รูปแห่งการเปิด(หนทาง) ในที่นี้หมายถึงการเปิดเข้าสู่โอกาสใหม่ๆ เปรียบว่า เมื่อเราอยู่ท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างที่เปิดฉายเข้ามาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะนำทางให้เรา เสมือนกับโอกาสที่เข้ามาในชีวิตที่ไร้จุดหมาย ผู้ที่อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังที่จะใช้ในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆได้ โดยเพ่งสมาธิถึงว่าในความมืดมิดย่อมมีทางออกอยู่เสมอ

      14. LAGUZ (ลากัซ) - รูนแห่งสายน้ำ มีความหมายถึงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์ใดก็ตาม นั่นก็คือ "กระแส" กระแสของน้ำที่ไหลวนอยู่ในร่างกายมนุษย์เป็นพลังสำคัญที่มักจะเป็นที่ใช้ของรูนตัวนี้ ผู้ที่อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังในการเสริมการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายและทำให้มีสุขภาพดีและเพิ่มความแข็งแรงตลอดจนสามารถกำจัดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเพ่งจิตถึงการไหลที่เป็นระเบียบของน้ำในร่างกายและการใช้น้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด

      15. MANNAZ (มันนัซ) - รูนแห่งมนุษยชาติ เป็นรูนที่มีความหมายถึงความเป็นหนึ่งอันเดียวกันของมวลมนุษย์ ในการที่มนุษย์ทุกคนก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ของกันและกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ต้องมีกิจวัตรประจำวันที่ดำเนินไปเหมือนๆกัน ผู้ที่อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับพลังในการมองเห็นความสามารถและหน้าที่ของตนเองที่จะสามารถกระทำการใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และทำให้สามารถรวมพลังกันให้เกิดการพัฒนาต่อส่วนรวมอย่างสูงสุด

      16. NAUTHIZ (นอธิซ) - รูนแห่งความสิ้นหวัง มีความหมายถึงช่วงเวลาที่คนเราไม่สามารถที่จะได้มาในสิ่งที่ต้องการ และไม่ประสบความสำเร็จตามที่ได้มุ่งหวังไว้ ทำให้เกิดความเศร้า หมองหม่น สิ้นหวังในชีวิต ผู้ที่อธิษฐานต่อรูนนี้อาจจะสามารถควบคุมตนเองให้รู้สึกถึงความสิ้นหวังได้น้อยที่สุด หรืออาจจะหลีกเลี่ยงการที่จะต้องเผชิญกับความสิ้นหวังเหล่านี้ได้ โดยการเพ่งสมาธิถึงสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นและคิดถึงในสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตจริงๆให้น้อยอย่างที่สุด

      17. OTHILA (ออธิลา) - รูนแห่งการสืบทอด มีความถึงการสืบทอดความรุ่งเรืองมั่งคั่งและความรับผิดชอบให้กับคนรุ่นต่อๆไป รวมถึงความหมายในแง่ของการถอยออกมาพักผ่อนของผู้ที่อ่อนล้า รูนนี้จะมอบพลังในการวิเคราะห์สถานการณ์และฟื้นฟูพลังให้กับผู้ที่ได้ผ่านการตรากตรำทำงานหนัก ซึ่งเมื่อมอบงานให้กับคนรุ่นต่อๆไปแล้วถอยออกมามองดูห่างๆก็จะสามารถเห็นรูปการได้โดยทั่วถึง และทำให้มีความคิดที่กว้างไกลใหม่ๆเกิดขึ้น

      18. PERTH (เพิร์ธ) - รูนแห่งปาฏิหาริย์ มีความหมายถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ หรือปรากฏการณ์ต่างๆที่เหลือเชื่อและไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ในตัวอย่าง เช่น นักรบไวกิ้งผู้อธิษฐานต่อรูนนี้ได้รอดตายจากสงครามได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งๆที่ผู้คนรอบข้างล้มตายไปหมด รูนนี้เป็นที่ถือว่าใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุดตัวหนึ่ง ผู้ที่อธิษฐานต่อรูนนี้จะได้รับสิ่งที่ไม่คาดฝัน โดยการเพ่งสมาธิถึงความต้องการและความคาดหวังของตนเองร่วมไปกับการแสดงความเชื่อมั่นในปาฏิหาริย์

      19. RAIDO (เรโด) - รูนแห่งการเดินทาง มีความหมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานที่ผู้คนต้องรอนแรมไปในที่ห่างไกลต่างๆ ทั้งนี้ รูนตัวนี้มีความหมายได้ทั้งสองแง่คือ การเดินทางจริงๆของบุคคล(physical) และการเดินทางของวิญญาณ(spiritual) ในการเดินทางทั้งหลายย่อมจะมีทั้งอุปสรรคและสิ่งเกื้อหนุน ผู้ที่อธิฐานต่อรูนนี้ให้ถูกโอกาส จะได้รับความสะดวก ความปลอดภัยและสิ่งเกื้อหนุนในการเดินทาง โดยเพ่งสมาธิถึงสิ่งที่จะได้รับ ประสบการณ์ใหม่ๆที่จะได้จากการเดินทางและคิดถึงการเดินทางที่ดีที่เคยได้ผ่านมา

      20. SOWOLU (โซโวลู) - รูนแห่งแสงสุริยะและพลังชีวิต มีความหมายถึงแสงอาทิตย์ที่ถือกันว่าเป็นสิ่งที่มอบพลังชีวิตให้แก่สรรพชีวิต ขับไล่ความมืดมิดและความหนาวเย็น และมอบชีวิตกลับคืนสู่ผืนโลก มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนแต่ต้องขึ้นกับแสงอาทิตย์ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ครอบครองพลังชีวิตทั้งมวลและเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ผู้ที่ตั้งอธิฐานถึงพลังชีวิตจากแสงอาทิตย์นี้จะได้รับความแจ่มใสและพลังชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม

      21. TEIWAZ (เทวาซ) - รูนแห่งวิญญาณแห่งนักรบ รูนตัวนี้เป็นรูนประจำตัวของเทพไทร์(Tyr)(เทพเจ้าแห่งสงคราม) รูนตัวนี้จะพบได้บ่อยบนเกราะและโล่ของนักรบไวกิ้ง ซึ่งจะมอบพลังแห่งการคุ้มครองเหล่านักรบและเสริมพลังเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการศึก นอกจากนี้รูนตัวนี้ยังเป็นรูนที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในการใช้เพื่อเสริมพลังให้แก่ผู้ร่าย ทำให้สามารถเอาชนะศัตรูและอุปสรรคต่างๆได้โดยง่าย อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลรุนแรงเมื่อต้องต่อสู้อีกด้วย

      22. THURISAZ (ธูริซาซ) - รูนแห่งความมืด เป็นรูนที่มีความคลุมเครือในการตีความหมายอยู่ บ้างว่าหมายความถึงพลังในด้านลบในตัวเรา บ้างก็ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ชองภูตผีปิศาจและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ เช่นเดม่อน ยักษ์ และโทรล อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วก็คือมันมีความหมายในด้านลบอย่างที่กล่าวไปแล้ว.. ด้านมืดเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องควบคุมไม่ให้ถูกมันควบคุมและไม่ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืดเหล่านั้น การอธิษฐานต่อรูนนี้ทำเพื่อควบคุมด้านมืดเหล่านี้ไม่ให้มีอำนาจขึ้นได้ แต่ทำได้ยากและต้องใช้ความระมัดระวังสูง โดยการเพ่งสมาธิถึงตัวตนที่แท้จริงของด้านมืดในตัวเรา และเชื่อมั่นว่าเราสามารถจะควบคุมความมืดเหล่านั้นได้ (หากทำผิดพลาดจะเกิดผลตรงข้าม)

      23. THE UNKNOWABLE - รูนแห่งความว่างเปล่า บางตำราก็ไม่ถือว่ารูนนี้มีตัวตนหรือไม่นับว่าเป็นหนึ่งในอักขระรูน(มันจึงไม่มีรูป...) มีความหมายถึงสิ่งไม่อาจล่วงรู้ได้ และความไม่รู้ทั้งหลาย บ้างก็เรียกว่าเป็น "หลุมดำแห่งความความรู้" (blackhole of knowledge) ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป ดังเช่นเหมือนเลข 0 ที่เหมือนนำไปหารด้วยสิ่งใดก็จะกลายเป็น 0 และเป็นตัวแทนของความกลัวใน "ความว่างเปล่า" ของมนุษย์ ที่เป็นสิ่งที่เรากำเนิดขึ้นมาจากมันและจะต้องกลับไปสู่มันในวันหนึ่ง การอธิษฐานต่อรูนนี้ใช้เพื่อหาคำตอบในตัวตนที่แท้จริงของเราและเอาชนะความกลัวในส่วนลึกของจิตใจ

      24. ๊URUZ (เออรัซ) - รูนแห่งพละกำลังและความคึกคะนอง มีความหมายถึงพละกำลังและความคะนองเยี่ยงสัตว์ป่าที่เหล่านักรบต้องการครอบครอง ความไม่กลัวความตายและรับรู้ว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาและอาจจะมาถึงเมื่อใดก็ได้ ผู้ที่ยึดมั่นต่อรูนนี้จะเข้าใจในการความมีชีวิตอยู่ว่า "ใช้ชีวิตให้เต็มที่" และจะได้รับพลังในการมีชีวิตอยู่ คนเหล่านี้จะไม่กลัวในความตายที่จะมาถึงและจะไม่เสียใจหากต้องสิ้นชีวิต

      25. WUNJO (วันโจ) - รูนแห่งความรุ่งโรจน์และความสุข มีความหมายถึงแทบทุกแง่ของความสุขและความรู้สึกในด้านบวกของมนุษย์ แต่เนื้อแท้ของรูนตัวนี้คือ "การไร้ซึ่งความอยากและไร้ซึ่งความทุกข์"

      อักษรรูนที่เป็นตัวโดดๆส่วนใหญ่จะใช้ในการอธิษฐาน แต่ถ้าหากจะพูดถึงว่าเป็นบทคาถาแล้วล่ะก็ส่วนใหญ่จะใช้อักษรรูนหลายๆตัวมาผสมกันเพื่อร่าย โดยปกติที่เห็นบ่อยก็คือใช้สามตัว และในบทคาถาเหล่านั้นก็จะพบอักษรรูนทั้ง 25 ตัว
      ที่กล่าวมาข้างต้นผสมผสานกัน...

      เป็นข้อมูลที่ได้ค้นหาจากหนังสือและเว็บไซด์ต่างๆ หลายๆแหล่งข้อมูลมาปะติดปะต่อกัน ส่วนเราเองก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยซํกกาติ๊ดเดียว เลยออกความเห็นมากไม่ได้ คิ คิ ใครเป็นผู้รู้จริง มาแย้งได้นะจ้าถ้าข้อมูลผิดพลาด

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×